- After install Ubuntu finish
1. Use command nano /etc/apt/sources.list Enter
2. Edit file by Ctrl+w and typing "th.archive.ubunt.com" and Ctrl+r
3. Typing "192.168.0.252:9999" Enter and typing a Enter
4. Ctrl+w and typing "security.ubuntu.com" and Ctrl+r
5. Insert data same number 3.
6. press Ctrl+x and Ctrl+y Enter
7. use command apt-get update
8. After apt-get update finish. Use command apt-get upgrade
วันจันทร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2555
Ubuntu Update Sources list
PHP : ความแตกต่างของฟังก์ชั่น empty()และ isset() ใน PHP
ความแตกต่างของฟังก์ชั่น empty()และ isset() ใน PHP
มาดูความแตกต่างระหว่างฟังก์ชั่น empty() และ ฟังก์ชั่น isset() กันค่ะ ว่าแตกต่างกันยังไง และใช้งานกันยังไงบ้าง
ฟังก์ชั่น empty() ทำหน้าที่ตรวจสอบว่าตัวแปลที่เรากำหนดไว้มีค่าอยู่ในตัวแปลนั้นหรือไม่
ส่วน
ฟังก์ชั่น isset() จะทำหน้าที่ตรวจสอบว่ตัวแปรนั้นมีอยู่จริงหรือไม่
การใช้ isset จะไม่เหมาะกับพวกการรับข้อมูลเช่น GET POST
ยกตัวอย่าง ถ้ามีคนเรียกแบบนี้ download.php?id=
ถ้าใช้ empty($_GET['id']) มันจะคืน true แปลว่าตัวแปรนั้นว่าง
แต่ถ้า isset($_GET['id']) มันจะคืน true แปลว่าตัวแปรนั้นมี แต่เราไม่รู้ว่ามันว่างหรือไม่
ดังนั้นการใช้ empty จะชัวร์กว่า ในเรื่องตัวแปรนั้นๆ มีข้อมูลมาจริงๆ
เวลาจะเช็คตัวแปร แนะนำใช้ empty ดีกว่า
ตัวอย่างการใช้ isset ตรวจสอบว่าตัวแปรนั้นมีอยู่จริงหรือไม่
มาดูความแตกต่างระหว่างฟังก์ชั่น empty() และ ฟังก์ชั่น isset() กันค่ะ ว่าแตกต่างกันยังไง และใช้งานกันยังไงบ้าง
ฟังก์ชั่น empty() ทำหน้าที่ตรวจสอบว่าตัวแปลที่เรากำหนดไว้มีค่าอยู่ในตัวแปลนั้นหรือไม่
ส่วน
ฟังก์ชั่น isset() จะทำหน้าที่ตรวจสอบว่ตัวแปรนั้นมีอยู่จริงหรือไม่
การใช้ isset จะไม่เหมาะกับพวกการรับข้อมูลเช่น GET POST
ยกตัวอย่าง ถ้ามีคนเรียกแบบนี้ download.php?id=
ถ้าใช้ empty($_GET['id']) มันจะคืน true แปลว่าตัวแปรนั้นว่าง
แต่ถ้า isset($_GET['id']) มันจะคืน true แปลว่าตัวแปรนั้นมี แต่เราไม่รู้ว่ามันว่างหรือไม่
ดังนั้นการใช้ empty จะชัวร์กว่า ในเรื่องตัวแปรนั้นๆ มีข้อมูลมาจริงๆ
เวลาจะเช็คตัวแปร แนะนำใช้ empty ดีกว่า
ตัวอย่างการใช้ isset ตรวจสอบว่าตัวแปรนั้นมีอยู่จริงหรือไม่
PHP : ส่งค่าผ่าน From โดยไม่ต้องแสดงผล
ส่งผ่าน hidden
ความต้องการคื่อในหน้า PHP นั้น ๆ ไม่อยากให้แสดงข้อมูล หรือไม่ได้เก็บใส่ Taxt แต่ต้องการค่า
จากหน้าหนึ่งไปยังอีกหน้าหนึ่ง
<input type="hidden" name="hdnName" value="<?=$x;?>">
รับค่าก็เป็น
$hidden = $_GET[hdnName];
ความต้องการคื่อในหน้า PHP นั้น ๆ ไม่อยากให้แสดงข้อมูล หรือไม่ได้เก็บใส่ Taxt แต่ต้องการค่า
จากหน้าหนึ่งไปยังอีกหน้าหนึ่ง
<input type="hidden" name="hdnName" value="<?=$x;?>">
รับค่าก็เป็น
$hidden = $_GET[hdnName];
วันพุธที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2555
ฝันที่เป็นจริง Instagram Android มาให้โหลดทางการแล้ว!!
ฝันที่เป็นจริงได้มาถึงสำหรับชาวแอนดรอยด์ แล้ว หลัังเปิดให้ลงทะเบียน Instagram for Android ไปเมื่อ25 มี.ค. ที่ผ่านมา ล่าสุดทางทีมพัฒนาได้แจ้งกลับทาง Email แล้วว่า Instagram เวอร์ชั่นAndroid พร้อมให้ดาวน์โหลดแล้ว เปิด Google Play แล้วเข้าไปโหลดกันได้เลย ส่วนจะเจ๋งกว่าในiPhone ไหม ไปเริ่มพิสูจน์กันเถอะ!!
Instagram Android Features
ฟีลเตอร์ฟรี 100% ทุกตัว / Lux เพื่อการปรับแสง
แชร์ เข้า Facebook, Twitter, Tumblr, Foursquare ( ในFlickr เจอกันเร็วๆ นี้ )
อินเตอร์แอคทีฟกับเพื่อนๆได้อย่างสมบูรณ์
รองรับ Android ตั้งแต่เวอร์ชั่น2.2 ขึ้นไป รวมถึง OpenGL ES 2
จัดได้ทั้งกล้องหน้าและหลัง
Download Mediafire .apk ฟรี
วันพฤหัสบดีที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2555
PHP : Fatal error: Cannot redeclare ..
Fatal error: Cannot redeclare ..ชื่อไฟล์ หรือ Function...
Error นี้คือ มีการสร้าง function หรือเรียกใช้ Function ที่ซ้ำกันครับ (ตรวจสอบให้ดี อาจเกิดจากการที่การ include ไฟล์เดียวกันมากกว่า 1 ครั้ง)
แก้ปัญหาโดยใช้
require_once()
include_once()
แทนครับ
ความหมาย http://porpramarn.blogspot.com/2012/03/php-includeincludeonce-require.html
ที่มา http://www.thaicreate.com/php/forum/002913.html
Error นี้คือ มีการสร้าง function หรือเรียกใช้ Function ที่ซ้ำกันครับ (ตรวจสอบให้ดี อาจเกิดจากการที่การ include ไฟล์เดียวกันมากกว่า 1 ครั้ง)
แก้ปัญหาโดยใช้
require_once()
include_once()
แทนครับ
ความหมาย http://porpramarn.blogspot.com/2012/03/php-includeincludeonce-require.html
ที่มา http://www.thaicreate.com/php/forum/002913.html
วันพุธที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2555
PHP : include,include_once, require, require_once ต่างกันยังไง
ใน PHP จะมีฟังก์ชันที่ทำหน้าที่สำหรับนำเข้าไฟล์ (นำไฟลหนึ่งมาเป็นส่วนประกอบของอีกไฟล์หนึ่ง) อยู่หลายฟังก์ชันด้วยกัน แต่ที่มีคนนิยมใช้มากและพบเห็นได้บ่อย (ตามบทความหรือฟรี source code ทั่วไป) จะมีอยู่ประมาณ 4 ฟังก์ชัน ซึ่งก็มีหลายคน งงว่าจะเลือกใช้อะไรดี เพราะใช้ ๆ ไปผลลัพธ์มันก็เหมือน ๆ กัน ในบทความนี้เราจะมาฟันธงกันครับว่าควรจะใช้อะไรดี
ซึ่ง 4 ฟังก์ชันที่ผมพูดถึง ได้แก่
1. include เช่น incude("connect.inc") หรือ include "connect.inc"
2. include_once เช่น include_once("connect.inc") หรือ include_once "connect.inc"
3. require เช่น require("connect.inc") หรือ require "connect.inc"
4. require_once เช่น require("conect.inc") หรือ require_once "connect.inc"
(***comment สำหรับมือใหม่นิดหนึ่งนะครับ ...ไม่จำกัดว่าต้องเป็นไฟล์นามสกุล *.inc นะครับ นามสกุลอะไรก็ได้ หรือจะเป็น url ก็ได้
แต่นักเขียนโปรแกรมส่วนมากจะนิยมตั้งเป็น *.inc หรือ *.inc.php เพื่อให้สังเกตได้ง่ายว่าไฟล์นามสกุลแบบนี้จะต้อง ถูกเรียกใช้โดยไฟล์อื่น ประมาณนั้นครับ ^^)
จะสังเกตเห็นว่ารูปแบบของการเรียกใช้งานไม่ได้ต่างกันเลย แต่ความจริงมันต่างกันครับ แล้วมันต่างกันยังไงละ ^^
....ก่อนจะรู้ว่ามันต่างกันยังไงเรามาดูที่ศัพท์ภาษาอังกฤษกันก่อนนะครับ ในชื่อฟังก์ชันทั้ง 4 ฟังก์ชันนั้นจะมีศัพท์ภาษาอังกฤษหลัก ๆ อยู่ 3 คำ
คือ "include", "require" และ "once" ลองเปิดโปรแกรม dictionary ที่มีอยู่ ในเครื่องคุณดูสิครับว่าแต่ละคำหมายความว่าอะไร
ความหมายที่ได้จะประมาณนี้ครับ
include = รวมถึง, ประกอบด้วย
require = ต้องการ
once = ครั้งเดียว, หนเดียว
ดูจากคำแปลก็น่าจะรู้แล้วนะครับว่าฟังก์ชันไหนให้ความสำคัญกับไฟล์ที่นำเข้ามามากกว่ากัน ....ใช่ครับ require ฟังก์ชัน
require() กับ require_once() จะให้ความสำคัญกับไฟล์ที่นำเข้ามามากกว่า สรุปก็คือ
ฟังก์ชัน include() กับ include_once() เมื่อใช้แล้ว ถ้ามันไม่เจอไฟล์ตามที่ระบุ มันจะรายงาน error แค่
Warning เท่านั้นแล้วก็ข้ามไปส่วนอื่นต่อได้ จึงนิยมใช้เรียกไฟล์พวกข้อความ หรือ html ธรรมดา เพราะไม่ค่อยจำเป็นเท่า
ไหร่โปรแกรมยังสามารถข้ามไปทำงานส่วนอื่นต่อได้อีก ยังไม่สมควารต้องหยุด
ต่างกันกับ require() กับ require_once() ซึ่งถ้าไม่เจอไฟล์ตามที่ระบุแล้ว มันจะรายงาน error มาเป็น Final error ทันที
แล้วก็จะโปรแกรมก็จะหยุดแค่ตรงนั้น จีงนิยมใช้เรียกไฟล์ที่เก็บฟังก์ชัน, คลาส หรือค่า config ต่าง ๆ ที่มีความจำเป็นมาก เพราะถ้าข้าม
การเรียกไฟล์ส่วนนี้ไปผลลัพธ์ส่วนอื่นที่ถึงแม้รันออกมาได้ก็ไร้ค่า
ที่มา http://www.webthaidd.com/php/webthaidd_article_236_2.html
ซึ่ง 4 ฟังก์ชันที่ผมพูดถึง ได้แก่
1. include เช่น incude("connect.inc") หรือ include "connect.inc"
2. include_once เช่น include_once("connect.inc") หรือ include_once "connect.inc"
3. require เช่น require("connect.inc") หรือ require "connect.inc"
4. require_once เช่น require("conect.inc") หรือ require_once "connect.inc"
(***comment สำหรับมือใหม่นิดหนึ่งนะครับ ...ไม่จำกัดว่าต้องเป็นไฟล์นามสกุล *.inc นะครับ นามสกุลอะไรก็ได้ หรือจะเป็น url ก็ได้
แต่นักเขียนโปรแกรมส่วนมากจะนิยมตั้งเป็น *.inc หรือ *.inc.php เพื่อให้สังเกตได้ง่ายว่าไฟล์นามสกุลแบบนี้จะต้อง ถูกเรียกใช้โดยไฟล์อื่น ประมาณนั้นครับ ^^)
จะสังเกตเห็นว่ารูปแบบของการเรียกใช้งานไม่ได้ต่างกันเลย แต่ความจริงมันต่างกันครับ แล้วมันต่างกันยังไงละ ^^
....ก่อนจะรู้ว่ามันต่างกันยังไงเรามาดูที่ศัพท์ภาษาอังกฤษกันก่อนนะครับ ในชื่อฟังก์ชันทั้ง 4 ฟังก์ชันนั้นจะมีศัพท์ภาษาอังกฤษหลัก ๆ อยู่ 3 คำ
คือ "include", "require" และ "once" ลองเปิดโปรแกรม dictionary ที่มีอยู่ ในเครื่องคุณดูสิครับว่าแต่ละคำหมายความว่าอะไร
ความหมายที่ได้จะประมาณนี้ครับ
include = รวมถึง, ประกอบด้วย
require = ต้องการ
once = ครั้งเดียว, หนเดียว
ดูจากคำแปลก็น่าจะรู้แล้วนะครับว่าฟังก์ชันไหนให้ความสำคัญกับไฟล์ที่นำเข้ามามากกว่ากัน ....ใช่ครับ require ฟังก์ชัน
require() กับ require_once() จะให้ความสำคัญกับไฟล์ที่นำเข้ามามากกว่า สรุปก็คือ
ฟังก์ชัน include() กับ include_once() เมื่อใช้แล้ว ถ้ามันไม่เจอไฟล์ตามที่ระบุ มันจะรายงาน error แค่
Warning เท่านั้นแล้วก็ข้ามไปส่วนอื่นต่อได้ จึงนิยมใช้เรียกไฟล์พวกข้อความ หรือ html ธรรมดา เพราะไม่ค่อยจำเป็นเท่า
ไหร่โปรแกรมยังสามารถข้ามไปทำงานส่วนอื่นต่อได้อีก ยังไม่สมควารต้องหยุด
ต่างกันกับ require() กับ require_once() ซึ่งถ้าไม่เจอไฟล์ตามที่ระบุแล้ว มันจะรายงาน error มาเป็น Final error ทันที
แล้วก็จะโปรแกรมก็จะหยุดแค่ตรงนั้น จีงนิยมใช้เรียกไฟล์ที่เก็บฟังก์ชัน, คลาส หรือค่า config ต่าง ๆ ที่มีความจำเป็นมาก เพราะถ้าข้าม
การเรียกไฟล์ส่วนนี้ไปผลลัพธ์ส่วนอื่นที่ถึงแม้รันออกมาได้ก็ไร้ค่า
ที่มา http://www.webthaidd.com/php/webthaidd_article_236_2.html
วันจันทร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2555
Axapta : Error wrong argument types in variable assignment.
Error executing code: Wrong argument types in variable assignment.
เมื่อเรียกใช้ Class แล้วมี Error ดังรูป
เกิดจากมีการทำงานที่ผิดพลาด เวลาเขียนโปรแกรม แล้วมีการใช้งานทำให้มีงานค้างที่ Server
แก้ปัญหาโดย เข้าไปที่ เมนูของโปรแกรม Axapta
เลือก Tools ---> Options ---> Click button Usage data
และดูที่ Tap ต่าง ๆ ที่มีงานที่เราเรียกใช้ แล้ว Error เช่น จะมีชื่อคล้าย ๆ กับ Class หรือ Report ที่เราเรียกใช้
ส่วนมากจะอยู่ที่ Tab Job แล้วเลือกชื่อ Class ที่ Error แล้วกด Delete เมนูด้านบน ลองเข้าที่ Class หรือ Report นั้นอีกที
ถ้าไม่ได้ ก็หาใน Tab อื่น ๆ อีก
เมื่อเรียกใช้ Class แล้วมี Error ดังรูป
เกิดจากมีการทำงานที่ผิดพลาด เวลาเขียนโปรแกรม แล้วมีการใช้งานทำให้มีงานค้างที่ Server
แก้ปัญหาโดย เข้าไปที่ เมนูของโปรแกรม Axapta
เลือก Tools ---> Options ---> Click button Usage data
และดูที่ Tap ต่าง ๆ ที่มีงานที่เราเรียกใช้ แล้ว Error เช่น จะมีชื่อคล้าย ๆ กับ Class หรือ Report ที่เราเรียกใช้
ส่วนมากจะอยู่ที่ Tab Job แล้วเลือกชื่อ Class ที่ Error แล้วกด Delete เมนูด้านบน ลองเข้าที่ Class หรือ Report นั้นอีกที
ถ้าไม่ได้ ก็หาใน Tab อื่น ๆ อีก
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)